กระทำที่เกิดขึ้นในกาลปัจจุบัน แบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบด้วยกัน
ได้แก่
1. Present Simple Subject + Verb 1
2. Present Continuous Subject + is, am, are + Verb (ing)
3. Present Perfect Subject + have, has + Verb
1.Present Simple Tense (โครงสร้าง Subject + Verb 1)
1. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เป็นจิงเสมอไป หรือเป็นเรื่องจริงของธรรมชาติ
เช่น It's hot in summer. มันร้อนในฤดูร้อน
The sun rises in the east. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงในขณะที่พูด ไม่ว่าก่อนหน้าที่พูดหรือหลังจากพูดจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องเป็นจริงในขณะที่พูดก็พอ
เช่น I have a pen in my purse. ฉันมีปากกาหนึ่งด้ามในกระเป๋าของฉัน (ประโยคข้างต้นนั้นเป็นจริงในขณะที่พูด คือในขณะนั้นฉันมีปากกาอยู่หนึ่งด้ามในกระเป๋าจริงๆ)
3. ใช้กับกริยาที่ไม่แสดงลักษณะอาการที่สังเกตเห็นได้ แต่เป็นกริยาที่เกี่ยวกับความนึกคิดหรือจิตใจ
เช่น I love him so much. ฉันรักเขามาก
This car belongs to him. รถคันนี้เป็นของเขา
4. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นประจำ หรือเป็นนิสัย โดยในกรณีนี้มักใช้ร่วมกับคำหรือกลุ่มคำที่แสดงความถี่ในประโยค
คำที่แสดงความถี่ ยกตัวอย่างเช่น
always เสมอ often บ่อยๆ
sometimes บางครั้ง frequently บ่อยๆ
usually เป็นปกติ naturally โดยธรรมชาติ
generally โดยทั่วไป rarely ไม่บ่อย
seldom นานๆ ครั้ง once a week หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์
everyday ทุกๆ วัน twice a year สองครั้งต่อปี
every week ทุกสัปดาห์ on Saturdays ทุกๆ วันเสาร์ เป็นต้น
ตัวอย่างประโยค
I always get up early. ฉันตื่นนอนเช้าเสมอ
We play football everyday. พวกเราเล่นฟุตบอลทุกวัน
เช่น It's hot in summer. มันร้อนในฤดูร้อน
The sun rises in the east. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงในขณะที่พูด ไม่ว่าก่อนหน้าที่พูดหรือหลังจากพูดจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องเป็นจริงในขณะที่พูดก็พอ
เช่น I have a pen in my purse. ฉันมีปากกาหนึ่งด้ามในกระเป๋าของฉัน (ประโยคข้างต้นนั้นเป็นจริงในขณะที่พูด คือในขณะนั้นฉันมีปากกาอยู่หนึ่งด้ามในกระเป๋าจริงๆ)
3. ใช้กับกริยาที่ไม่แสดงลักษณะอาการที่สังเกตเห็นได้ แต่เป็นกริยาที่เกี่ยวกับความนึกคิดหรือจิตใจ
เช่น I love him so much. ฉันรักเขามาก
This car belongs to him. รถคันนี้เป็นของเขา
4. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นประจำ หรือเป็นนิสัย โดยในกรณีนี้มักใช้ร่วมกับคำหรือกลุ่มคำที่แสดงความถี่ในประโยค
คำที่แสดงความถี่ ยกตัวอย่างเช่น
always เสมอ often บ่อยๆ
sometimes บางครั้ง frequently บ่อยๆ
usually เป็นปกติ naturally โดยธรรมชาติ
generally โดยทั่วไป rarely ไม่บ่อย
seldom นานๆ ครั้ง once a week หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์
everyday ทุกๆ วัน twice a year สองครั้งต่อปี
every week ทุกสัปดาห์ on Saturdays ทุกๆ วันเสาร์ เป็นต้น
ตัวอย่างประโยค
I always get up early. ฉันตื่นนอนเช้าเสมอ
We play football everyday. พวกเราเล่นฟุตบอลทุกวัน
2.Present Perfect Tense (โครงสร้าง Subject + have, had + Verb 3)
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เริ่มเกิดขึ้นในอดีต และยังคงดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันในขณะที่พูด
เช่น I have lived here since 2000 (ฉันได้อาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 และในตอนนี้ก็ยังคงอาศัยอยู่)
2. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เกิดขึ้นหลายครั้งในอดีต และอาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตโดยไม่ได้บอกว่าเกิดขึ้นเมื่อไร แต่มักมีคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ที่บอกความถี่ประกอบอยู่ในประโยคด้วยเสมอ
เช่น She has driven to that beach several times. (หล่อนขับรถไปที่ชายหาดแห่งนั้นหลายครั้ง)
3. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เคยหรือไม่เคยทำในอดีต โดยมักจะมีคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เหล่านี้ประกอบอยู่ในประโยคด้วย ได้แก่ ever (เคย), never (ไม่เคย), once (ครั้งหนึ่ง), twice (สองครั้ง) เป็นต้น
เช่น I have never been to London before. (ฉันยังไม่เคยไปลอนดอนมาก่อน)
4. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต และส่งผลมาถึงปัจจุบันหรือในขณะที่พูดอยู่
เช่น He has turned on the light. (เขาได้เปิดไฟไว้แล้ว)
5. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เพิ่งจบลงไปไม่นาน โดยมักจะมีกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เหล่านี้มาประกอบอยู่ในประโยคด้วย ได้แก่ just (เพิ่งจะ), yet (ยัง), finally (ในที่สุด), eventually (ในที่สุด), recently (เมื่อเร็วๆ นี้) เป็นต้น
เช่น We have already had dinner. พวกเราทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว
เช่น I have lived here since 2000 (ฉันได้อาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 และในตอนนี้ก็ยังคงอาศัยอยู่)
2. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เกิดขึ้นหลายครั้งในอดีต และอาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตโดยไม่ได้บอกว่าเกิดขึ้นเมื่อไร แต่มักมีคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ที่บอกความถี่ประกอบอยู่ในประโยคด้วยเสมอ
เช่น She has driven to that beach several times. (หล่อนขับรถไปที่ชายหาดแห่งนั้นหลายครั้ง)
3. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เคยหรือไม่เคยทำในอดีต โดยมักจะมีคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เหล่านี้ประกอบอยู่ในประโยคด้วย ได้แก่ ever (เคย), never (ไม่เคย), once (ครั้งหนึ่ง), twice (สองครั้ง) เป็นต้น
เช่น I have never been to London before. (ฉันยังไม่เคยไปลอนดอนมาก่อน)
4. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต และส่งผลมาถึงปัจจุบันหรือในขณะที่พูดอยู่
เช่น He has turned on the light. (เขาได้เปิดไฟไว้แล้ว)
5. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เพิ่งจบลงไปไม่นาน โดยมักจะมีกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เหล่านี้มาประกอบอยู่ในประโยคด้วย ได้แก่ just (เพิ่งจะ), yet (ยัง), finally (ในที่สุด), eventually (ในที่สุด), recently (เมื่อเร็วๆ นี้) เป็นต้น
เช่น We have already had dinner. พวกเราทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว
3.Present Continuous Tense (โครงสร้าง Subject + is, am, are +
Verb(ing)
มีวิธีการใช้แบ่งออกได้ดังนี้
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังเกิดขึ้น หรือกำลังกระทำในขณะที่พูด ในกรณีนี้มักจะมีกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ร่วมอยู่ในประโยคด้วย
เช่น My mother is cooking in the kitchen now. แม่ของฉันกำลังทำอาหารอยู่ในตอนนี้
2. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลายาวนานพอสมควร โดยมักจะมีคำที่บ่งบอกระยะเวลาอยู่ในประโยคด้วย
เช่น She is learning English this month. หล่อนกำลังเรียนภาษาอังกฤษในเดือนนี้
3. ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ หรือการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือเป็นอนาคตอันใกล้ที่ค่อนข้างแน่นอน และมักมีคำบอกเวลาอยู่ในประโยคด้วย
เช่น We are going to Koh Chang next week. พวกเราจะไปเกาะช้างกันในสัปดาห์หน้า
ข้อสังเกต เมื่อในประโยค 2 ประโยคถูกเชื่อมไว้ด้วยกันเป็นประโยคเดียวโดยที่มีประธานตัวเดียวกันนั้น ไม่ต้องใส่กริยาช่วยในประโยคที่ 2
เช่น I am doing my homework and listening to the radio. ฉันกำลังทำการบ้านและฟังวิทยุ
(ไม่ใช่ I am doing my homework and am listening to the radio เพราะมี I เป็นประธานตัวเดียวกันของกริยาทั้ง doing และ listening จึงไม่ต้องมี am หลัง and อีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น